คลังเก็บหมวดหมู่: ประวัติเจ้าหญิงดิสนีย์

ราพันเซล

10. Rapunzel

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Tangled 2010
อายุ: 18 ปี
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: สายเลือด(เป็นเจ้าหญิงที่พลัดพราก)
สัญชาติ : เยอรมัน
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  Rapunzel
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: –
คู่สมรส : Eugene Fitzherbert (Flynn Rider)

ภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 50 ของดิสนีย์ ได้เลือกที่จะนำเรื่องราวของนิทานเก่าอย่าง เจ้าหญิงผมยาว มาเล่าใหม่ให้ทันสมัย เหมาะสมกับกาลปัจจุบันขึ้น ดังนั้นเจ้าหญิงผมยาวคนใหม่ จึงฉีกออกจากกรอบของเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคคลาสสิคไม่น้อย ทั้งท่าทางกระโตกกระตาก ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ แต่ก็ยังแชร์สิ่งที่เจ้าหญิงดิสนีย์ทุกคนมีเหมือนกัน นั่นก็คือ “ความฝัน” เพียงแต่ฝันของราพันเซลนั้น ไม่ใช่การได้พบเจอและแต่งงานกับเจ้าชายรูปงาม แต่ฝันของราพันเซลนั้นก็คือ การได้ออกไปจากหอคอย ได้ออกไปเห็นโลกกว้าง และที่สำคัญคือ ออกไปเห็นดวงดาว(ตามที่ราพันเซลเข้าใจผิดมาแต่เด็ก)ที่จะมาในทุกๆวันเกิดของเธอนั่นเอง


ราพันเซลนั่งเฝ้ามองดูกลุ่มดาวที่จะมีขึ้นทุกๆปีในวันเกิดของเธอ ผ่านทางหน้าต่างบนหอคอย และหวังว่าวันหนึ่งเธอจะได้ไปเห็นกับตาตัวเอง

สำหรับกลุ่มดาวที่ราพันเซลเข้าใจผิดนั้น แท้จริงแล้วเป็นโคมลอยที่พระราชา พระราชินีพ่อแม่แท้ๆของราพันเซล และชาวเมือง Corona จุดขึ้นเพื่อระลึกถึงเจ้าหญิงน้อยที่ถูกลักพาตัวไป โดยหวังว่าวันหนึ่งเจ้าหญิงจะทรงกลับคืนมา


ภาพโมเสคของพระราชา พระราชินี และเจ้าหญิงน้อยที่หายไป ตั้งเด่นอยู่กลางเมือง

ซึ่งผู้ที่ลักพาตัวเจ้าหญิงน้อยไป ก็ไม่ใช่ใครอื่น Mother Gothel ผู้ที่อยากเป็นสาวสองพันปีนั่นเอง

จริงๆแล้ว แม่เลี้ยงโกเธล นั้นก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำร้ายราพันเซลหรือใครๆ แต่เหตุที่ทำให้เธอต้องลักพาตัวราพันเซลมาจากพระราชา และพระราชินี เนื่องจากต้องการพลังพิเศษที่อยู่ในเส้นผมของราพันเซล ซึ่งพลังนี้จะทำให้แม่เลี้ยงโกเธลคงความสาว ความสวยได้ตลอดไป เพียงแค่ร้องเพลงขับขานเท่านั้น ซึ่งพลังวิเศษนี้นอกจากจะช่วยคงความเยาว์ให้แก่แม่เลี้ยงโกเธลได้แล้ว ยังช่วยรักษาบาดแผลได้อีกด้วย ดังที่ราพันเซลรักษาให้ยูจีน ภายหลังการหลบหนีพวกทหารและพี่น้อง Stabbington
บทเพลงที่ใช้เรียกพลังวิเศษจากผมของราพันเซล
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจสงสัยว่า ราพันเซลมีพลังวิเศษนี้ได้อย่างไร เป็นคำสาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” ค่ะ เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไป กล่าวคือ สมัยก่อนนู้น หยดแสงจากดวงอาทิตย์ได้หยดลงมาบนพื้นโลก กลายเป็นดอกไม้วิเศษ ที่สามารถรักษาโรคได้ทุกอย่าง และผู้ที่มาเจอดอกไม้นี้ก็คือ แม่เลี้ยงโกเธล ค่ะ แต่แทนที่นางจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่น เพื่อประโยชน์ส่วนรวม นางกลับเก็บไว้คนเดียว ซ่อนเอาไว้จากสายตาคนทั่วไป โดยการเอาสุ่มที่ตกแต่งด้วยใบไม้มาครอบไว้


ดอกไม้วิเศษ ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด


แม่เลี้ยงโกเธล: อ่าาาาา เพียงแค่นี้ รอยตีนกาก็หายไปหมด

แต่ทีนี้ค่ะ วันดีคืนดี ที่เกาะข้างๆของเกาะที่ดอกไม้วิเศษอยู่เนี่ย ดันมีอาณาจักรมาสร้างใหม่ชื่อว่าอาณาจักร Corona

มีสัญลักษณืประจำอาณาจักรเป็นรูปดวงอาทิตย์นั่นเองค่า

เทียน่า

9. Tiana

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: The Princess and the frog 2009
อายุ: 19 ปี
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: อภิเษกสมรส
สัญชาติ : อเมริกัน-แอฟริกัน
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  The Frog Prince
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: เจ้าหญิงในเรื่อง The Frog Prince และ Leah Chase เชฟสาวผิวสีชาวนิวออร์ลีนส์
คู่สมรส : Prince Naveen

หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Mulan ในปี 1998 ผ่านพ้นไป ดิสนีย์ก็อยู่ในช่วงรุ่งเรืองอีกสองสามปี จนความดังของหนังการ์ตูนดิสนีย์ค่อยๆเบาบางลง และดิสนีย์เองก็ไม่ได้หันกลับไปทำหนังแนว fairy tale มานานมากแล้ว ดังนั้นในปี 2009 ดิสนีย์จึงออกภาพยนตร์แนวแฟรี่เทลเรื่องใหม่ โดยฝีมือของสองผู้กำกับ Ron Clements และ John Musker สองผู้กำกับผู้เคยกอบกู้ความรุ่งเรืองของดิสนีย์ให้กลับมาด้วยผลงานอย่าง The Little Mermaid และ Aladdin เป็นต้น
แต่คราวนี้ดิสนีย์ไม่ใช่แค่จับเอานิทานปรัมปราลงมาเป็นหนังเลย แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนทั้งตัวละคร สถานที่ และเนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าแทบจะยกเครื่องเรื่อง เจ้าชายกบ ใหม่ทั้งหมด ดังนั้นเจ้าหญิงผิวสีคนแรกอย่าง เทียน่า จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา

เทียน่าเป็นเด็กสาวชาวเชื้อสายแอฟริกันที่มาเกิดในอเมริกา ในสังคมของทาสในสมัยนั้น ฐานะทางบ้านของเธอจึงไม่ค่อยดีมาก แต่เธอก็มีพ่อแม่ที่รักและดูแลเธอ คือ James และ Eudora โดย James พ่อของเทียน่ามีพรสวรรค์ในการทำอาหาร เขาจึงมักจะทำอาหารแจกให้เพื่อนบ้านเสมอ ส่วน Eudora เอง ก็มีฝีมือตัดเย็บที่ไม่แพ้ใคร เธอจึงได้งานตัดชุดให้ Lottie ลูกสาวของคุณ La’ Bouff ผู้มั่งคั่งในเมืองนิวออร์ลีนส์นั่นเอง


ครอบครัวสุขสันต์ Eudora, James และ Tiana

Lottie หรือ Charlotte La Bouff นั้นเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีของนางเอกตั้งแต่เด็กจนโต ซึ่งขัดกับวงการละครไทยมาก ที่เพื่อนนางเอกผู้มีฐานะและเอาแต่ใจมาชอบพระเอก ต้องเป็นตัวร้าย แต่ในเรื่องนี้ ล็อตตี้ กลับเป็นคนดีอย่างเหลือเชื่อ


ล็อตตี้กลับคุณลาบัฟฟ์

และอย่างที่ทุกคนทราบกันค่ะว่าเรื่องราวของ The Princess and The Frog นั้นเกิดขึ้นที่เมือง New Orleans  ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของดนตรีแจ็ส จากวงดนตรีแจ็สชื่อดังอย่างวง Dixieland และมีนักร้องเพลงแจ็สและนักเป่าทรัมเปตชื่อดังอย่าง หลุยส์ อาร์มสตรอง ดังนั้นในเรื่อง The Princess and the Frog จึงนำเรื่องดนตรีแจ็สมาใช้ค่ะ โดยเริ่มที่ในส่วนของดนตรีที่จากเดิมจะใช้เป็นเพลงแนว Broadway อลังการ แต่ในเรื่องนี้ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นดนตรีแจ็สทั้งเรื่อง อีกทั้งตัวละครในเรื่องบางตัวก็มีความเกี่ยวข้องกับบุคลจริงๆอย่างเจ้าจระเข้ลูอิส เป็นจระเข้ที่ชอบเป่าทรัมเปตเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเจ้าลูอิส (Louis) ก็ดันไปชื่อคล้ายกับ คุณหลุยส์ (Louise) อาร์มสตรอง นักเป่าทรัมเปตชื่อดังในยุค ทั้งนี้เพื่อเป็นกาารให้เกียรติหลุยส์ อาร์มสตรองนั่นเอง

กลับมาที่เทียน่ากันต่อ นอกจากนางจะเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์คนที่ 9 และเป็นเจ้าหญิงผิวดำคนแรกแล้ว นางยังเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์คนแรกที่ปรากฎเสียงในวัยเด็กของนางค่ะ หลังจากที่ซินเดอเรลล่าและออโรร่าเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ที่มีภาพวัยเด็กของตัวเองในหนังมาก่อน แต่ตอนนั้นพวกนางแค่มายืนกันนิ่งๆค่ะ ไร้การขยับและเสียงพูดใดๆ ก็ได้เทียน่านี่แหล่ะค่ะเป็นผู้บุคเบิกยุคที่เจ้าหญิงทุกคนมีวัยเด็กให้เห็นในหนัง ถ้าไม่เชื่อ ลองกลับไปดูสิคะ ตั้งแต่เทียน่า ราพันเซล เมอริด้า อันนา และเอลซ่า ทุกคนต่างมีวัยเด็กมาเริงร่าในหนังกันทุกคนเลย

เริงร่าวัยเด็กของล็อตตี้กับเทียน่า

แต่วันเวลาแห่งความสุขก็ได้ผ่านไป พ่อของเทียน่าก็ได้จากไปในสงคราม ทั้งๆที่ยังทำความฝันที่จะเปิดร้านอาหารไม่สำเร็จ เทียน่าผู้ได้พรสวรรค์ในการทำอาหารมาจากพ่อ จึงสานต่อความฝันนี้ แต่ด้วยฐานะที่ยากจน เธอจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินเปิดร้านอาหาร นั่นทำให้เทียน่า กลายเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์คนแรกที่มีอาชีพ เพราะหลังจากที่เธอแต่งงานกับเจ้าชายนาวีนแล้ว เธอก็ยังเปิดร้านอาหารชื่อว่า Tiana’s Palace และดำเนินกิจการไปกับเจ้าชาย พร้อมทั้งให้เจ้าลูอิสมาเป็นนักดนตรีประจำร้านอีกด้วย

เทียน่า ดำเนินร้านอาหาร Tiana’s Palace

ควบคู่ไปกับสามีของเธอ เจ้าชายนาวีน เจ้าชายจากมัลโดเนียผู้รักสนุกทำให้ถูกตัดออกจากกองมรดก

ในตอนแรกที่ยังไม่ได้แต่งงาน เทียน่าตั้งใจให้ร้านของเธอชื่อว่า Tiana’s Place แต่พอแต่งงานแล้วเธอก็เปลี่ยนชื่อเป็น Tiana’s Palace ซึ่งแปลว่าปราสาทของเทียน่า นับได้ว่าเป็นปราสาทที่เก๋ที่สุดในบรรดาปราสาทของเจ้าหญิงดิสนีย์ทั้งหมด

ในเรื่อง costume เอง เทียน่าก็ไม่ยอมน้อยหน้าเจ้าหญิงคนไหน เพราะเธอเป็นเจ้าหญิงที่เปลี่ยนชุดมากที่สุด โดยเธอเปลี่ยนชุดทั้งหมด 10 ชุด
แต่ถ้านับชุดในตอนเด็กด้วย เธอก็เปลี่ยนชุดมากถึง 12 ชุด

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเทียน่ามีอาชีพเป็นเด็กเสิร์ฟ และนักทำอาหารหรือว่า เชฟ ซึ่งในส่วนนี้ ทางนี้ได้แรงบันดาลใจมากชีวิตของ Leah Chase กุ๊กหญิงชื่อดังชาว News Orlean ซึ่งหลังจากที่ The Princess and the Frog ได้ออกฉายไปแล้วนั้น ก็ได้ออกหนังสือคู่มือการทำอาหารสำหรับเด็กชื่อว่า “Tiana’s Cookbook” โดยได้ Leah Chase เนี่ยแหล่ะที่เป็นคนเขียนหนังสือค่ะ


“Tiana’s Cookbook”


Leah Chase

นอกจากนี้ เทียน่า เองยังเป็นเจ้าหญิงที่มีลักยิ้ม และถนัดแขนซ้าย แต่เอ๊ะ ทำไม เทียน่าต้องมีลักยิ้ม และต้องถนัดแขนซ้าย นั่นเป็นเพราะว่า Anika Noni Rose นักแสดงสาวจากเรื่อง Dreamgirls ได้บอกให้แอนิเมเตอร์ใส่ลักษณะนี้ไปในตัวของเทียน่านั่นเอง

นอกจากนี้ สาวๆจาก Dreamgirls อีก 2 คน ก็เคยร่วมงานกับทางดิสนีย์ ไม่ว่าจะเป็น Jennifer Lopaz ที่เคยถ่ายแบบในซีรีย์ Disney Dream Portrait เป็นเจ้าหญิงจัสมิน และ Jennifer Hudson ที่มาถ่ายแบบเป็น เทียน่า จาก The Princess and the Frog นั่นเอง

Jennifer Lopaz ในบทของจัสมิน จากเรื่องอลาดิน

Jennifer Hudson ในบทของเทียน่า จากเรื่องมัศจรรย์มนต์รักเจ้าชายกบ

สำหรับ The Princess and the Frog ในเวอร์ชันภาษาไทยก็ใช้ชื่อว่า “มหัศจรรย์ มนต์รักเจ้าชายกบ”
และได้นักร้องสาวผิวเข้มเสียงดี มาพากษ์เป็นเจ้าหญิงเทียน่าอีกด้วย
นั่นก็คือ พี่แก้ม เดอะ สตาร์ หรือ แก้ม วิชญาณี เปียกลิ่นนั่นเองค่า

และด้วยความที่เป็นการกลับมาของเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ห่างหายไปนาน
ดิสนีย์จึงได้จัดพิธีสถาปนาการเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ให้กับเทียน่าอย่างเป็นทางการ
โดยเป็นการจัดงานเพื่อบอกว่า ต่อไปเทียน่า จะได้เข้าร่วมกลุ่มเจ้าหญิงดิสนีย์นะ
จะมีสินค้าหน้าเทียน่าในกลุ่มเจ้าหญิงดิสนีย์เพิ่มขึ้นนะ (พวกเอ็งอย่าลืมสะสมให้ครบเซ็ตนะโว้ย 555)
โดยงานสถาปนานี้เป็นงานสถาปนาการเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ครั้งแรกของโลก
จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.2010 ที่โรงแรมนิวยอร์ค พาเลซ
และในงานยังให้ให้นักแสดงมาแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ทั้ง 10 คน และเจ้าชายนาวีน
เพื่อมาทำพิธีสวมมงกุฎแสดงความเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์อย่างเต็มตัวนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีการเชิญดารา คนดัง รวมถึงผู้พากษ์เสียงตัวละครต่างๆในเรื่อง มาร่วมงานนี้อีกด้วยค่าาาา

มู่หลาน

8. Mulan

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Mulan 1998
อายุ: ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าน่าจะประมาณ 16-17 ปี
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ จากการที่ฮ่องเต้ยอมรับในฐานะเป็นปกป้องชาติ บ้านเมือง จนถึงกับยอมก้มหัวให้
สัญชาติ : จีน
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  The Legend of Hua Mulan
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: –
คู่สมรส : Li Shang

สาวเอเชีย คนที่สองที่ได้เข้าร่วมใน Line-up ของ Disney Princess นะคะ Fa Mulan
มู่หลานเนี่ย เรียกได้ว่าเป็นเจ้าหญิงคนเดียว ที่ในภาพยนตร์มีการบอกทั้งชื่อและนามสกุลไว้ชัดเจน นั่นก็คือ สกุล Fa ซึ่งมู่หลานใน The Legend of Hua Mulan เนี่ย มู่หลานไม่ได้นามสกุล Fa นะคะ แต่นามสกุล Hua ค่ะ อีกทั้งมู่หลานยังเป็นเจ้าหญิงคนที่สองที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ คือ มีพ่อ แม่ ลูก พร้อมหน้า แถมย่ามาที่น่ารักมาด้วยอีกคน ซึ่งเจ้าหญิงคนแรกที่มีครอบครัวสมบูรณ์แบบนี้คือ ออโรร่า ค่ะ คนอื่นถ้าไม่กำพร้าพ่อ ก็กำพร้าแม่ หรือไม่ก็กำพร้าทั้งคู่ และยิ่งไปกว่านั้นค่ะในภาพยนตร์ยังมีการบอกถึงชื่อของพ่อ แม่ ด้วย ซึ่งก็คือ Fa Zhou และ Fa Li ตามลำดับค่ะ

มู่หลานเป็นเจ้าหญิงคนแรกและคนเดียวค่ะ ที่ตัดผมตัวเองจนสั้นจู๋ ส่วนราพันเซลนั้น ฟลินน์เป็นคนตัดให้ค่ะ เลยกลายเป็นทรงหนูแทะ

ส่วนชื่อของมู่หลานก็มีความพิเศษนะคะ ว่าไม่ได้ เพราะ Mulan ในภาษาจีนเนี่ย หมายถึง ดอกแมกโนเลียค่ะ และดอกแมกโนเลียเนี่ย ก็เป็นตัวแทนของความบากบั่น อุตสาหะ เพียรพยายามอีกด้วย แอบเซอร์ไพรส์ไหมคะที่เจ้าหญิงเอเชียทั้งสองของเรามีชื่อเป็นดอกไม้ทั้งสองคนเลย

นอกจากจะสวยแล้วในเรื่องความเก่งกาจก็ไม่เป็นรองใครค่ะ เพราะมู่หลานเป็นเจ้าหญิงคนแรกค่ะ ที่จัดการกับตัวร้ายในเรื่องด้วยตัวเอง และมู่หลานก็เป็นเจ้าหญิงอีกคนค่ะที่ใช้คนพากย์เสียงพูดกับเสียงร้องคนละคนกัน โดยคนที่มาพากย์เสียงให้มู่หลานคือนักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ชื่อ Ming-Na ส่วนผู้ให้เสียงร้องคือนักร้องชาวฟิลิปปินชื่อ Lea Salonga ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ให้เสียงร้องให้กับ Jasmine

^Ming-Na

^Lea Salonga
ส่วนคนพากย์เสียงไทยก็คือ ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ ส่วนคนร้องคือ โฟร์ท นฤมล จิวังกูร ค่ะ

^ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ

^โฟร์ท นฤมล จิวังกูร


ในฉากที่มู่หลานเข้ามาร้องเพลง ในสุสานของบรรพบุรุษ ตัวอักษรจีนที่อยู่บนป้ายหลุมศพก็คือชื่อของทีมงานผู้สร้างนั่นเองค่ะ โดยเขียนให้อยู่ในรูปแบบอักษรจีนโบราณ อีกทั้งมู่หลานยังเป็นเจ้าหญิงคนเดียวอีกด้วยค่ะ ที่มีการโชว์ลายมือของตัวเองในภาพยนตร์

***เพิ่มเติมค่ะ***
Mulan กับ Belle เป็นเจ้าหญิงเพียงสองคนที่ได้สัมผัสกับหิมะในภาพยนตร์

และในส่วนของรางวัลออสการ์นะคะ มู่หลานได้ถูกเสนอเข้าชิง 1 รางวัลค่ะ คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ตลกหรือเพลง

โพคาฮอนทัส

7. Pocahontas
ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Pocahontas 1995
อายุ: ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าน่าจะประมาณ 16-17 ปี
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: สายเลือด(พ่อเป็นหัวหน้าเผ่า)
สัญชาติ : Powhatan (เผ่าหนึ่งของชาวอินเดียแดงค่ะ)
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  อ้างอิงจากชีวประวัติของ Matoaka
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Irene Bedard
คู่สมรส : John Rolfe
เจ้าหญิงคนที่ 7 นะคะ Pocahontas ค่ะ ตามเดิมแล้วโพคาฮอนทัสไม่อยู่ใน line-up ของ Disney Princess ตั้งแต่เริ่มแรก ทั้งๆที่การก่อตั้ง Disney Princess มีตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 ซึ่งหลังจากปีที่โพคาฮอนทัสออกฉายครั้งแรกตั้ง 5 ปี อาจจะด้วยเพราะความเป็นชนเผ่า ไม่ถึงกับจะนับได้ว่าเปนราชวงศ์สักทีเดียว แต่สุดท้ายนางก็ได้เข้ากลุ่มค่ะ และคะแนนนิยมของนางก็มีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
โพคาฮอนทัส น่าสนใจมากค่ะ เนื่องจากเรื่องของโพคาศอนทัสเนี่ย ดิสนีย์ดัดแปลงมาจากชีวประวัติของ Matoaka ค่ะ ซึ่ง Matoaka เนี่ยเป็นตัวจักรสำคัญในการักษาสันติภาพระหว่างชาวอาณานิคมอังกฤษกับชนเผ่าอินเดียนแดง ได้เป็นผู้ช่วยชีวิตนักผจญภัยชาวอังกฤษชื่อ จอห์น สมิธ (John Smith) ที่กำลังจะถูกสำเร็จโทษโดยเผ่าของเธอเอง และเธอก็ได้พบรักกับเขา แต่ต่อมาจอห์น ก็ได้กลับไปอังกฤษ และเสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 2155 โพคาฮอนทัสได้เข้ารีตเป็นคริตส์ศาสนิกชนและได้รับการตั้งชื่อคริสเตียนว่า “รีเบคกา” เธอได้แต่งงานกับ “จอห์น โรล์ฟ (John Rolfe)” (พ.ศ. 2128-2165) เมื่อปี พ.ศ. 2157 ต่อมาในปี พ.ศ. 2159 โพคาฮอนทัสได้ติดตามสามีไปประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากราชวงศ์อังกฤษ แต่เธอได้เสียชีวิตลงด้วยโรคฝีดาษ

ภาพของ Matoaka กับลูกชายของเธอค่ะ

จะเห็นใช่ไหมคะว่าพระเอกของโพคาฮอนทัสในภาคแรกก็ชื่อ John Smith และโพคาฮอนทัส ก็ได้ช่วยชีวิต John Smith ไว้เหมือนที่ Matoaka เคยทำ
และ John Rolfe พระเอกในภาค 2 ก็เป็นคนที่แต่งงานกับโพคาฮอนทันในตอนท้ายเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะดิสนีย์ได้หยิบยกเค้าเรื่องของ Matoaka มานั่นเอง และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ชื่อเล่นของ Matoaka ก็คือ Pocahontas ซึ่งมีความหมายว่า ค่อนข้างดื้อ นั่นเอง

สำหรับความพิเศษของโพคาฮอนทัสนะคะ นั่นคือเธอเป็นเจ้าหญิงคนแรกที่ไม่ใส่รองเท้าเลยค่ะตลอดทั้งเรื่อง จนมีราพันเซลตามมาเป็นคนที่สอง

และความพิเศษที่เรียกได้ว่า มีแค่โพคาฮอนทัสคนเดียวที่มี นั่นก็คือ โพคาฮอนทัสเป็นคนเดียวค่ะ ที่สุดท้ายแล้วไม่ได้แต่งงานกับ Love interest ของตัวเองในตอนแรก นั่นก็คือ John Smith (คนหล่อๆผมสีทอง) แต่ว่านางกลับไปแต่งกลับ John Rolfe (คนผมสีน้ำตาล) แล้วกลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้านเกิดของโพคาฮอนทัส แต่ว่าใน line-up ของ Disney Prince ยังถือว่าให้ John Smith อยู่ในกลุ่มนะคะ อาจเพราะเนื่องจากใน Pocahontas 2 นั้น ไม่ได้ผลิตจากดิสนีย์ สตูดิโอใหญ่อะค่ะ เหมือนกับ The Little Mermaid 2 และ 3 เช่นกัน

เรื่องความพิเศษของโพคาฮอนทัสนี่เยอะค่ะ ขอลิสต์เป็นข้อๆเลยดีกว่า
1. เป็นเจ้าหญิงคนแรกที่ตอนจบไม่ได้ลงเอยกับคนรัก(เพราะจอห์นกลับไปอังกฤษ)
2. เป็นเจ้าหญิงคนแรกที่มีรอยสัก
3. เป็นเจ้าหญิงคนแรกที่สวมใส่ชุดพื้นเมืองค่ะ
4. เป็นเจ้าหญิงคนแรกที่มีเพื่อนเป็นมนุษย์ เพราะตั้งแต่สโนว์ไวท์ที่ไม่มีเพื่อน เพราะโดนใช้งานให้อยู่แต่ในปราสาท เช่นเดียวกับซินเดอเรลล่า, ออโรร่าที่ถูกนำไปเลี้ยงในป่าตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่ได้เจอกับคน ก็เยมีแต่เพื่อนที่เป็นสัตว์ป่ากับนางฟ้า 3 องค์, แอเรียลก็เช่นกัน เพราะเกิดมาเป็นเงือกก็เจอแต่เงือก ไม่ได้มีความสนิทสนมกับมนุษย์, เบลล์ที่วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ และมีพ่อเป็นนักประดิษฐ์สติเฟื่อง ทำให้ชาวบ้านนินทาไม่กล้าคบค้าสมาคมด้วย, จัสมินที่อยู่แต่ในวัง อยากออกไปเจอโลกภายนอก ก็มีแค่ราชา เสือเพื่อนรัก สำหรับใครที่นึกหน้าของเพื่อนโพคาฮอนทัสไม่ออก เรามีรูปมาให้ค่ะ

5. เป็นเจ้าหญิงคนแรกที่ช่วยพระเอกของตัวเองไว้ค่ะ เรื่องอื่นเจ้าชายต้องมาช่วยเจ้าหญิงตลอดๆ
6. เป็นเจ้าหญิงคนที่สองที่ผู้ให้เสียงพากย์กับเสียงร้องเป็นคนละคนกัน โดยที่ผู้ให้เสียงพากย์ เป็นดาราชาวพื้นเมืองอเมริกันเช่นกันค่ะ แต่เกิดที่อลาสก้า คือ Irene Bedard ส่วนคนที่ให้เสียงตอนร้องเพลงก็คือ Judy Kuhn

^Irena Bedard

^Judy Kuhn
และสำหรับเวอร์ชันภาษาไทยเองก็เช่นกันค่ะ คนที่พากย์เสียงภาษาไทยก็คือคุณนก สินจัย เปล่งพานิช ส่วนคนที่ให้เสียงร้องคือคุณน้ำมนต์ ธีรนัยน์ ณ หนองคาย นั่นเองค่ะ

^สินจัย เปล่งพานิช

^ธีรนัยน์ ณ หนองคาย

อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ เราว่า ดิสนีย์ไทยแลนด์ เลือกคนพากย์ได้เหมาะมากเลยค่ะ สังเกตดูเราว่าพี่นกหน้าคล้ายๆโพคาฮอนทัสนะคะ ส่วนมู่หลานคนพากย์ก็ได๋ เป็นสาวหมวยเหมือนกัน และล่าสุดอันนา จาก Frozen ก็ได้หนูนา ซึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก ไม่รู้เพราะความบังเอิญหรือความตั้งใจกันแน่ 555

7. โพคาออนทัสเป็นเจ้าหญิงคนแรกที่มีบรรบุรุษเก่าแก่ค่ะ นั่นคือ ย่าต้นหลิว ถึงแม้จะไม่ใช่ในร่างของมนุษย์ก็ตาม

8. แรคคูนและนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่เป็นเพื่อนของโพคาฮอนทัส มีชื่อว่า Meeko และ Filt ส่วนสุนัขพันธ์ Pug อีกตัว ซึ่งเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของตัวร้ายมาก่อน ก็กลายมาเป็นเพื่อนของโพคาฮอนทัสก็มีชื่อว่า Percy

ในส่วนของรางวัลออสการ์นะคะ
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Pocahontas ถูกเสนอเข้าชิง 2 รางวัลค่ะ แล้วชนะมาทั้ง 2 รางวัลเลย นั่นก็คือ
1. ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ตลกหรือเพลง
2. เพลงประกอบยอดเยี่ยม Colors of the wind
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767

จัสมิน

6. Jasmine

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Aladdin 1992
อายุ: ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าน่าจะประมาณ 16-17 ปี
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: สายเลือด(พ่อเป็นสุลต่านครองเมืองอักราบาห์)
สัญชาติ : อาหรับ
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  Aladdin and his Wonderful Lamp จากนิทานเรื่อง One Thousand and One Nights
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Princess Badroulbadour จาก Aladdin and his Wonderful Lamp
คู่สมรส : อลาดิน

เจ้าหญิงคนที่ 6 ได้แก่ เจ้าหญิงจัสมิน แห่งเมืองอักราบาห์ค่ะ ซึ่งต้นแบบของจัสมินเนี่ยมาจาก เจ้าหญิง Badroulbadour ค่ะ ซึ่งเนื้อเรื่องในนิทานเวอร์ชั่นออริจินอลเนี่ย เรื่อง Aladdin and his Wonderful Lamp เกิดขึ้นที่เมืองจีนค่ะ ไม่ใช่ที่ Middle East แต่ดิสนีย์คงยึดตามเรื่องหลัก One Thousand and One Nights หรือ อาหรับราตรี มากกว่า เลยแปลงร่างอลาดินและจัสมินมาอยู่ดินแดนทะเลทรายแทน

สำหรับชื่อ Jasmine ก็แปล ตรงตัวค่ะ ดอกมะลิ และจัสมินยังเป็นเจ้าหญิงจากทวีปเอเชียคนแรกที่ได้เข้า line-up Disney Princess มาตั้งแต่มีการก่อตั้งในปี ค.ศ.2000 ค่ะ

ถ้าสังเกตดีๆ เราจะเห็นจัสมินในเวอร์ชันภาพยนตร์สวมชุดสีฟ้าค่ะ แต่พอเข้ามาอยู่ใน line-up Disney Princess นางก็ถูกจับเปลี่ยนสีชุดค่ะ เพื่อไม่ให้สีซ้ำกับสีฟ้าของซินเดอเรลล่า ชุดนางเลยถูกเปลี่ยนเป็นสีเทอร์ควอยซ์หรือฟ้าอมเขียว เขียวอมฟ้าอะไรสักอย่าง

เวอร์ชันในภาพยนตร์ปี 1992

เวอร์ชันถูกเปลี่ยนสี แต่สีปัจจุบันเป็นสีเทอร์ควอยซ์

เวอร์ชัน 2012 (เวอร์ชันปัจจุบัน)

นอกจากนี้เพลง A whole new world ยังได้รับรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำในสาขาเพลงยอดเยี่ยมอีกด้วย

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767

เบลล์

5. Belle

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Beauty and the Beast 1991
อายุ: ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าน่าจะประมาณ 16-17 ปี
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: อภิเษกสมรส
สัญชาติ : ฝรั่งเศส
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  La Belle et la Bête abridged from the version by Madame Jeanne-Marie le Prince de Beaumont
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Sherri Stoner
คู่สมรส : เจ้าชายอดัม(Prince Adam) หรือร่างเดิมคืออสูรนั่นเอง

เบลล์(Belle) ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง beauty ค่ะ ชื่อของเธอก็แปลว่าสวยงามนั่นเอง นางเป็นนางเอกที่เสียสละมากค่ะ ยอมแลกอิสรภาพตัวเองกับชีวิตของพ่อ ดิฉันทราบซึ้งในความดีงามของนางตรงนี้ อีกทั้งนางยังเป็นเพียงไม่หนึ่งในไม่กี่คนที่มองเห็นความงดงามในจิตใจของอสูรอีกด้วยค่ะ
และท้ายที่สุดนางก็สามารถช่วยแก้คำสาปอสูรให้กลับมาเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามได้สำเร็จ และได้อยู่ครองรักกัน

แต่ว่า ถ้าใครสังเกตดีๆแล้ว เราจะไม่เห็นฉากแต่งงานของเบลล์กับเจ้าชายอดัมในเรื่อง หรือภาคต่อใดๆ

เรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรนับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของดิสนีย์เลยค่ะ เพราะถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆและสามารถคว้ารางวัลมาได้ ได้แก่
1. Academy Award หรือ ออสการ์
ได้รับรางวัล ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และ เพลงยอดเยี่ยม ในเพลง Beauty and the Beast
ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, และเพลงยอดเยี่ยม ในเพลง Belle กับ Be our guest

2. ลูกโลกทองคำ
ได้รับรางวัล หนังยอดเยี่ยม ประเภทหนังตลก/เพลง, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และ เพลงยอดเยี่ยม ในบทเพลง Beautiful and the Beast
ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัล เพลงยอดเยี่ยม ในเพลง Be our guest
เบลล์(Belle) ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง beauty ค่ะ ชื่อของเธอก็แปลว่าสวยงามนั่นเอง นางเป็นนางเอกที่เสียสละมากค่ะ ยอมแลกอิสรภาพตัวเองกับชีวิตของพ่อ ดิฉันทราบซึ้งในความดีงามของนางตรงนี้ อีกทั้งนางยังเป็นเพียงไม่หนึ่งในไม่กี่คนที่มองเห็นความงดงามในจิตใจของอสูรอีกด้วยค่ะ
และท้ายที่สุดนางก็สามารถช่วยแก้คำสาปอสูรให้กลับมาเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามได้สำเร็จ และได้อยู่ครองรักกัน

แต่ว่า ถ้าใครสังเกตดีๆแล้ว เราจะไม่เห็นฉากแต่งงานของเบลล์กับเจ้าชายอดัมในเรื่อง หรือภาคต่อใดๆ

เรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรนับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของดิสนีย์เลยค่ะ เพราะถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆและสามารถคว้ารางวัลมาได้ ได้แก่
1. Academy Award หรือ ออสการ์
ได้รับรางวัล ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และ เพลงยอดเยี่ยม ในเพลง Beauty and the Beast
ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, และเพลงยอดเยี่ยม ในเพลง Belle กับ Be our guest

2. ลูกโลกทองคำ
ได้รับรางวัล หนังยอดเยี่ยม ประเภทหนังตลก/เพลง, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และ เพลงยอดเยี่ยม ในบทเพลง Beautiful and the Beast
ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัล เพลงยอดเยี่ยม ในเพลง Be our guest

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767

เเอเรียล

4. Ariel

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: The Little Mermaid 1989
อายุ: 16 ปี(ตามเนื้อเรื่องในวันที่ออกฉาย)
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: สายเลือด(พ่อเป็นราชาไตรตันผู้ปกครองท้องทะเล)
สัญชาติ : Atlantean ตามภูมิลำเนา / Danish
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  Den Lille Havfrue by Hans Christian Andersen
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Sherri Stoner
คู่สมรส : เจ้าชายอีริค(Prince Eric)

มาต่อกันที่เจ้าหญิงคนที่สี่ค่ะ ซึ่งก็คือ แอเรียล จาก เงือกน้อยผจญภัยนั่นเอง นับได้ว่าเป็นช่วงที่เว้นวรรคภาพยนตร์เกี่ยวกับเจ้าหญิงไปนานที่สุดถึง 30 ปีด้วยกันค่ะ จากเรื่องสุดท้าย Sleeping Beauty ในปี 1959 แต่ก็นับว่าเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว เพราะกระแสของเมอร์เมดนั้นดีมากๆ

เรื่อง The Little Mermaid นี้นะคะ ดัดแปลงมาจากนิทาน เรื่อง  Den Lille Havfrue โดย Hans Christian Andersen ชาวเดนมาร์ค ผู้แต่งนิทานอีกหลายๆเรื่องรวมทั้ง Snow Queen ที่เป็น inspired ให้กับ Frozen ด้วยค่ะ โดยเรื่อง The Little Mermaid นี้นะคะ มีการเปลี่ยนแปลงตอนจบไปจากต้นฉบับเดิมที่เจ้าหญิงเงือกไม่ได้สมหวังกับเจ้าและต้องตายกลายเป็นฟองคลื่นในทะเลไปค่ะ กลายเป็นฉากจบแบบ Happy Ending อย่างที่เราเห็นๆกัน
และเรื่อง The Little Mermaid ในเวอร์ชันนี้นะคะ ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway อีกด้วยค่ะ

แอเรียลนับว่าเป็นเจ้าหญิงเพียงคนเดียวของดิสนีย์ค่ะที่มีบุตรอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ เจ้าหญิงเมโลดี้ นั่นเองค่ะ


Sherri Stoner นางแบบ ที่มาเป็นต้นแบบให้กับแอเรียลเวอร์ชันการ์ตูนค่ะ

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767

ออโรร่า

3. Aurora

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Sleeping Beauty 1959
อายุ: 16 ปี(ตามเนื้อเรื่องในวันที่ออกฉาย)
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: สายเลือด
สัญชาติ : British
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  La Belle au Bois Dormant by Charles Perrault
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Helene Stanley
คู่สมรส : เจ้าชายฟิลิป(Prince Phillip)

ออโรร่าเป็นเจ้าหญิงที่เกิดมาอาภัพค่ะ เพราะนอกจากความสวยเพียงอย่างเดียวที่เธอมีนั้นไม่ทำให้เธอโดดเด่นในภาพยนตร์ของเธอเลยค่ะ เนื่องจากเธอโดนสาปให้นอนหลับไปตั้งแต่ต้นๆเรื่อง ทำให้เธอกลายเป็นนางเอกที่ออกมาโลดแล่นบนจอน้อยที่สุดด้วยเวลาเพียง 18 นาทีจากภาพยนตร์ทั้งเรื่องเท่านั้น

อีกเรื่องค่ะชุดราตรีที่ออโรร่าใส่นั้น ตามเนื้อเรื่องแล้วจะมีการสลับสีไปมาระหว่างสีเขียว-ฟ้า-ชมพู ตามสีของนางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอค่ะ แต่ในภาพยนตร์เราจะเห็นเธอสวมสีฟ้าบ่อยกว่า แต่ว่าในภาพที่ดิสนีย์ใช้โปรโมตใน line-up ของ Disney Princess นั้น จะให้เธอสวมชุดสีชมพูค่ะ เพื่อจะได้ไม่ซ้ำกับสีชุดของ Cinderella นั่นเอง


มาเลฟฟีเซนต์ แม่มดร้ายที่เด่นกว่านางเอกเสียอีก
ต้องยอมรับเลยค่ะว่านางเป็นหนึ่งในตัวร้ายที่สะพรึงมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใครที่ดูตอนเด็กๆแล้วไม่รู้สึกกลัวนางบ้างคะ ดิฉันคนหนึ่งแหล่ะที่กลัว แต่ว่านางเองก็เป็นที่ชื่นชอบอยู่ไม่น้อยในบรรดาแฟนคลับที่ชื่นชอบเหล่าตัวร้าย
ในตอนที่หนังออกฉายแรกๆในปี 1959 ฉากที่มาเลฟฟีเซนต์ต่อสู้กับเจ้าชาย ถูกวิจารณ์ว่ารุนแรงไปสำหรับเด็กๆด้วยค่ะ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ ฉากแบบนั้นคงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เรียกได้ว่า มาเลฟฟิเซนต์เป็นนางร้ายที่นำเทรนด์สุดๆไปเลยค่า


Helene Stanley ดาราสาวผู้เป็น reference ให้กับ Cinderella และ Aurora รวมถึงนางเอกในเรื่อง 101 Dalmatians อีกด้วยค่า

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767

ซินเดอเรลล่า

2. Cinderella

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Cinderella 1950
อายุ: 19 ปี(ตามเนื้อเรื่องในวันที่ออกฉาย)
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: อภิเษกสมรส
สัญชาติ : ฝรั่งเศส
อ้างอิงจากนิทานเรื่อง:  Cendrillon by Charles Perrault
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Helene Stanley
คู่สมรส : เจ้าชายเฮนรี่(Prince Henry) หรือเราจะคุ้นหูกันในชื่อของเจ้าชายชาร์มมิ่งกันมากกว่า

หลังจากผ่านไปสิบกว่าปี วอล์ต ดิสนีย์ก็ได้หันมาทำภาพยนตร์เกี่ยวกับเจ้าหญิงอีกเรื่องนั่นก็คือ Cinderella ในปี 1950 นั่นเองค่ะ
ซึ่งภาพยนตร์ในยุค 50 เนี่ย ถือว่าเป็นยุคทองของดิสนีย์เลยก็ว่าได้ เพราะทำเรื่องไหนออกมาก็โด่งดังไปเสียหมด รวมถึงซินเดอเรลล่าเองด้วย ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องซินเดอเรลล่ากลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงสุดในปีนั้น นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตรองเท้ารายหนึ่งในอเมริกาได้ผลิตรองเท้าแก้วออกวางจำหน่าย และก็ขายเทเป็นเทน้ำเทท่าเสียด้วย


ซินเดอเรลล่านั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Leader of Disney Princess อาจเนื่องด้วยวัยวุฒิของนางที่มีมากกว่าคนอื่นๆ รวมทั้งบุคลิกที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งเรื่องราวชีวิตที่ใครๆต่างก็ใฝ่ฝันอยากให้ชีวิตตนเองโชคดีได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงาม อย่างเช่น เจ้าชายชาร์มมิ่ง

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767

สโนว์ไวท์

1. Snow White

ข้อมูลพื้นฐาน
ปรากฎตัวครั้งแรก: Snow White and the 7 Dwarfs 1937
อายุ: 14 ปี(ตามเนื้อเรื่องในวันที่ออกฉาย)
ฐานะในการเป็นเจ้าหญิง: สายเลือด(พ่อแม่เป็นพระราชา)
สัญชาติ : เยอรมัน(บาวาเรียน)
คู่สมรส : เจ้าชายเฟอร์ดินานด์(Prince Ferdinand)

อ้างอิงจากนิทานเรื่อง: Schneewittchen by Brothers Grimm
refference ตัวละครอ้างอิงจาก: Marge Champion

เจ้าหญิงคนแรกของกลุ่มเจ้าหญิงดิสนีย์นะคะ ก็คือ สโนว์ไวท์ จากเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดนั่นเองค่ะ ซึ่งภาพยนตร์แอนนิเมชั่นเรื่อง สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด(Snow White and the seven dwarfs) เป็นภาพยนตร์แอนนิเมชั่นสีขนาดยาวเรื่องแรกของโลก ผลิตโดย วอลต์ ดิสนีย์ สตูดิโอ ออกฉายครั้งแรก(รอบปฐมทัศน์)วันที่ 21 ธันวาคม 1937 ใช้เงินทุนในการสร้างถึง 1,500,000 ดอลล่าร์ ซึ่งภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ในสมัยนั้น ใช้เงินสร้างเพียง 500,00 ดอลล่าร์ รวมค่าตัวนักแสดงแล้ว แต่เมื่อหนังออกฉาย สโนว์ไวท์กลับทำรายได้ถึง 184,925,486 ดอลล่าร์ นับว่าเป็นหนังที่ทำเงินได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังทำให้ Walt Disney ได้รับรางวัล Oscar พิเศษ ในฐานะเป็นผู้สร้างการ์ตูนขนาดยาวเรื่องแรกของโลก โดยรางวัลออสการ์ที่เขาได้รับมีความพพิเศษตรงที่นอกจากจะมีตุ๊กตาทองเหมือนของคนอื่นแล้วยังมีตุ๊กตาทองขนาดเล็กเรียงกันลงมาอีก 7 ตัว เท่ากับจำนวนของคนแคระในเรื่องอีกด้วย

สโนว์ไวท์เป็นเจ้าหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาเจ้าหญิงดิสนีย์ทั้งหมดเลยค่ะ โดยสโนว์ไวท์มีอายุเพียง 14 พรรษาเท่านั้นเอง และเจ้าหญิงที่มีอายุมากที่สุดตอนนี้นะคะคือ Cinderella ค่ะมีอายุ 19 พรรษา แต่ในปีนี้หน้านางก็ต้องเสียแชมป์ให้กับ Elsa ค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่ Elsa ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์อย่างเป็นทางการ นางจะกลายเป็นเจ้าหญิงที่มีอายุมากที่สุด ด้วยอายุ 21 พรรษา และยังเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์คนแรกค่ะที่ได้ครองราชย์อีกด้วยค่า


The name of The 7 dwarfs.
ในนิทานเรื่องสโนว์ไวท์ต้นฉบับของสองพี่น้องกริมม์นั้น ไม่ได้มีการอธิบายหรือตั้งชื่อให้กับเหล่าคนแคระในเรื่อง แต่แค่เรียกรวมๆกันว่าคนแคระทั้ง 7
แต่เมื่อบรรดาเหล่าคนแคระ ต้องมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม วอล์ต ดิสนีย์ก็เลยมีการตั้งชื่อและอธิบายความเป็นปัจเจกบุคคลของคนแคระแต่ละคน
1. Doc เป็นพี่ใหญ่ เวลาพูดชอบใช้ศัพท์ยากๆ แต่ก็ใช้ผิดๆถูกๆ
2. Sleepy ง่วงนอนตลอดเวลา
3. Happy เป็นคนร่าเริง
4. Grumpy ขี้หงุดหงิด
5. Sneezy เหมือนคนเป็นโรคภูมิแพ้ เจออะไรก็จาม
6. Bashful ขี้อาย
7. Dopey เป็นคนเซ่อๆ ในเรื่องเป็นใบ้

ในการออกแบบคาแรคเตอร์ต่างๆนะคะ ทางดิสนีย์มักจะเสก็ตช์จากของจริงคะ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ อย่างเช่นเรื่องแบมบี้เนี่ย ทางสตูดิโอถึงกับต้องเอากวางมาเลี้ยงในสตูดิโอกันเลยทีเดียว และสำหรับคนที่มาเป็นต้นแบบให้สโนว์ไวท์ฉบับการ์ตูนก็คือ Marge Champion นักแสดงและนักเต้นรำชาวอเมริกันนั่นเองค่ะ

ที่มา http://pantip.com/topic/31389767